ถ้าเป็นเคสที่คนไข้รู้สึกว่าไปฉีดมาแล้วแย่ลงส่วนใหญ่ที่หมอเจอก็คือเกิดจากการไม่ตรวจโครงหน้ากันก่อนโดยส่วนใหญ่คนไข้จะเดินเข้าคลินิกด้วยโปรบุฟเฟ่หรือฉีดแบบเหมาคือเข้าไปก็จะโดนจับฉีดทุกอย่างซึ่งจริงๆแล้วถ้ามันเกิดจากการตรวจโครงหน้าก่อนว่าคนไข้มีปัญหาตรงไหนจริงๆมันก็ฉีดได้แต่บางทีมันจะมีอาการล้นฉีดเยอะเกินไป ทีนี้มันก็ต้องกลับไปดูรูปก่อนฉีดด้วย อย่างเช่นเคสเมื่อเช้าที่มีอินบ๊อคฉีดแล้วหน้าพังกว่าเดิมค่ะพอหมอเห็นรูปก่อนฉีดและหลังฉีดหมอก็ดูไม่ออกว่าแย่ลงกว่าเดิมยังไงสุดท้ายคนไข้บอกว่าฉีดแล้วฝ้าขึ้นซึ่งอันนี้มันคนละเรื่องเลยนะถ้าหมอพูดตามหลักการ คือตัวฟิลเลอร์มันเป็นตัว Hiya มันเป็นเจลการที่ฟิลเลอร์เข้าไปในหน้าเรามันไม่มีการกระตุ้นฝ้าแต่หมอเข้าใจนะเพราะว่าคนไข้ยืนยันว่าก่อนฉีดไม่มีฝ้ากระเลยพอฉีดฟิลเลอร์ไปเดือนนึงฝ้ากระเต็มซึ่งรูปที่ส่งมาก็มีฝ้ากระจริงๆหมอก็เห็นใจทั้งคนไข้และคนฉีดนะเพราะคนฉีดก็จะพูดว่าหมอฉีดฟิลเลอร์ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับตัวฝ้ากระเลยอันนี้ก็ต้องไปซักเพิ่มนะวันนั้นนอกจากฉีดฟิลเลอร์แล้วทำอย่างอื่นกันหรือเปล่ามีทำเครื่องความร้อนอะไรกว่านั้นหรือเปล่าฉะนั้นถ้าพูดเหมือนเป็น เพื่อนกันเวลาเราฉีดฟิลเลอร์หนึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่าฟิลเลอร์มันเกิดมาเพื่อแก้โครงหน้าของเรามันก็จะมีกระดูกไขมันชั้นลึกที่อยู่ติดกับกระดูกสองส่วนนี้มีความสำคัญมากในการยกพยุงหน้าของเราไม่ให้ทุกอย่างมันร่วงลงมาไม่ให้ขมับเราตอบไม่ให้ตาเราตกไม่ให้ตาเราลึกโหลไม่ให้ร่องแก้มเราพับมากกว่าเดิมไม่ให้จุดสูงสุดของแก้มตกลงมาต่ำกว่าปีกจมูกหรือไม่ทำให้กระพุงแก้มใหญ่กว่าเดิมหรือคางงุ้มปากงุ้มนี่คือปัญหาโครงหน้าที่ควรจะใช้ฟิลเลอร์แก้ส่วนโบท็อกซ์เนี่ยจะเป็นเรื่องของริ้วรอยเป็นหลัก หมอเคยทำคลิปไปแล้วบางทีไปโบท็อกซ์กรามกลายเป็นว่ากระพุงแก้มหอยมากกว่าเดิมหน้าเราเล็กลงจริงแต่ที่เหลือมันดูไม่ดีเลยเราได้ความหน้าเล็กแต่คือกระพุงแก้มห้อยหน้าตอบกว่าเดิมกลายเป็นว่าเราดูแย่กว่าเดิมฉะนั้นเราสำคัญมากว่าก่อนที่จะไปฉีดในฐานะคนไข้เราต้องถามตัวเองก่อนว่าสิ่งที่เราต้องการจริงๆคืออะไรถ้าพูดตามหลักการของความงามเวลาคนไข้เดินเข้ามาในคลินิกคนไข้จะงงว่าทำไมหมอจะต้องบอกทุกอย่างตั้งแต่บนยันล่างเพราะเวลาเรามองคนไข้และมองทั้งหน้าและมองทั้งหน้า คนไข้อาจจะ มาถามเราเรื่อง ใต้ตาจริงๆแต่เรามองคนมันจะสวยมันไม่ได้สวยแค่จุดเดียวบนหน้าแต่ถ้าเป็นหมอจริงๆแล้วเราต้องดูเขาทั้งหน้าบางทีคนไข้อาจจะไม่ได้รู้ว่าปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ไหนแต่เห็นด้วยกับคำพูดที่คนเม้นว่าบางทีเราต้องโฟกัสในส่วนที่คนไข้กังวลถูกในเมื่อคนไข้เหมาะมาหาเราด้วยปัญหาใต้ตาเราต้องแก้ให้เขาเพราะเขาต้องการแก้ส่วนนั้นแต่หน้าที่หมอเค้าต้องบอกด้วยว่าปัญหาส่วนอื่นๆที่มันดูรวมกันแล้วมันทำให้คนไข้ดูไม่เหมือนเดิมดูแก่กว่าเดิมมีอะไรบ้างหรือบางคนสุดท้ายแล้วแก้แค่ใต้ตาให้เค้า เค้ากลับไปเค้าก็รู้สึกเหมือนไม่ทำอะไรอยู่ดีเพราะบางทีเวลาคนจะดูดีขึ้นมันไม่ได้แก้ปัญหาใต้ตาอย่างเดียว คนก็จะมองว่าเราเชียร์ให้คนไข้ใช้เยอะแต่จริงๆแล้วทั้งหมอและหมอบีเวลามองคนไข้และมองทั้งหน้าแล้วก็จะรู้สึกว่าถ้าคนไข้ทำตรงนี้ตรงนี้อีกนิดนึงมันจะโอเคขึ้นแต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่บังคับคนไข้นะ ฉะนั้นก่อนเข้าคลินิกย้ำอีกทีถามตัวเองว่าตัวเองกังวลอะไร และที่หมอเจออีกเคสนึงก็คือไปฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วแก้มตอบกว่าเดิมกระพุงแก้มห้อยกว่าเดิม ฉีดแล้วแย่ลงฉีดล้น ฟิลเลอร์ที่ฉีดล้นเราจะเจอกันส่วนใหญ่คนไข้หมอที่เจอมาจะเจอฟิลเลอร์ล้นดันตาล่าง หมอคาดว่าเคสประเภทนี้คือใต้ตาบุ๋มลึกจริงๆแล้วเราพยายามจะอัดฟิลเลอร์ไปกลายเป็นว่าแก้มมันไปดันใต้ตาล่างคนไข้ตาเล็กกว่าเดิมซึ่งสำหรับหมอหมอไม่ทำเคสสไตล์นี้แต่คนไข้บางประเภทก็จะชอบใต้ตาเต็มและแน่นไปเลยอันนี้ก็ต้องแจ้งแต่ส่วนใหญ่หมอจะเก็บส่วนที่มันจะล้นไว้เพราะหมอเคยฉีดไปแล้วสุดท้ายคนไข้มาสลายที่เห็นอยู่ดีฉะนั้นส่วนใหญ่ฟิลเลอร์ใต้ตามาหมอจะแก้ส่วนที่เป็นกระดูกยุบของเค้าก่อนแล้วให้เค้ารอประมาณอาทิตย์หรือสองอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนแล้วมาเติมสุดท้ายยังล้นเลยเพราะว่าบางทีเราอธิบายคนไข้ว่าส่วนที่มันเป็นหัวตาเราไม่ควรที่จะยัดฟิลเลอร์เข้าไปให้มันเต็มเพราะอย่าลืมว่าตรงใต้ตามันจะมีกล้ามเนื้อรอบดวงตาเพราะเราไปวางฟิลเลอร์ตัวอ่อนมันลอยอยู่บนผิวเราแล้วไปวางบริเวณที่ใกล้กับกล้ามเนื้อกล้ามเนื้อขยับตลอดเวลาเพราะแสดงสีหน้าตลอดเวลาสุดท้ายประมาณซักเดือนสองเดือนมันจะถูกบีบมากองอยู่ตรงหัวตาแล้วคนไข้จะกลับมาว่ามันเป็นก้อน ถึงจะวางดีที่สุดเบาที่สุดด้วยความที่คนไข้อยากเต็มสุดท้ายมันก็จะแย่ลงเอาแค่ว่าให้มันดีขึ้นมา 70-80% ก็ถือว่าโอเคและ บางทีถ้าฟิลเลอร์เราก็ต้องพอประมาณค่อย ๆ ทำไปอย่าไปอัดแน่นมากเพราะสุดท้ายแล้วพอมันแน่นจนล้นสุดท้ายก็มาสลายทิ้ง

​

#ฉีดฟิลเลอร์ #ฉีดโบท็อกซ์ #ฉีดโบท็อกซ์แก้มห้อย #ฉีดฟิลเลอร์ไม่หาย