ฟิลเลอร์คาง
ฟิลเลอร์คาง ฉีดไปทำไม
การฟิลเลอร์ไม่ใช่แค่การฉีดเพื่อแฟชั่น อย่างเดียว คุณหมอจะฉีดเพื่อการแก้ไข้ปัญหาด้วย จึงมีการฉีดฟิลเลอร์คางมากขึ้น (ในห้องหมอ) ปัญหาของคางจะสำพันกับร่องร่องหนึ่ง โดยส่วนใหญ่แล้วคนไข้จะเข้ามาปรึกษากับคุณหมอในเรื่องนี้ ประมาณ 3 ร่อง คือ ร่องน้ำตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก สำหรับตัวของคุณหมอนั้นก็เข้าสู่วัย 40+ แล้ว จริงๆ อายุ 30 - 50 ปีขึ้นไป ร่องน้ำหมากจะเริ่มเห็นได้ชัดเจน คนไข้ที่เข้าพบกับคุณหมออ้อยส่วนใหญ่จะชี้มาที่ร่องน้ำหมากก่อนเลย ถ้าหากอายุ 20 กว่า จะเริ่มมาด้วยกระดูกเบ้าตา ผิวเริ่มขาดคอลลาเจน จะนอนพักผ่อนให้เพียงอย่างไรก็ไม่หาย เหตุคือเกิดจากกระดูก สำหรับคนที่อายุ 30-35 ปี เริ่มมีร่องแก้ม โดยส่วนใหญ่เรามีใต้ตา ร่องแก้ใก็จะมาพร้อมกัน ฉะนั้นคนที่มีอายุ 40 ขึ้นไป คุณหมอเข้าใจ โดยส่วนตัวคุณหมอเป็นคนฉีดฟิลเลอร์ ตั้งแต่อายุ 38 ฉีดช้า ใต้ตาคุณหมอลึกตั้งแต่อายุ 32 ปี ยังไม่มีใครแนะนำว่าใต้ตาควรใช้ฟิลเลอร์แก้ ช่วง 6 ปี ที่คุณหมอตาโหล จนอายุ 38 ปี ถึงจะได้ฉีดฟิลเลอร์เบ้าตา อายุ 38-43 ปี ฉีดฟิลเลอร์ไป 2 รอบ เวลาที่เรานั้นมีปัญหาโครงหน้า ได้มีการตรวจใบหน้าเราต้องใช้ฟิลเลอร์หน้า 10 ซีซี แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องฉีดทั้ง 10 ซีซี เราต้องดูเงินของเราด้วย คุณหมอเป็นคนฉีดทั้งหน้า แต่คุณหมอทะยอนทำไม่ได้ฉีดทีเดียวทั้งหน้า ไม่ได้เป็นเคสรีวิว ครั้งล่าสุดที่คุณหมออ้อยได้ฉีด คางหมอได้รับการฉีดมา 2 รอบ ปกติการฉีดฟิลเลอร์คุณหมอจะฉีดจากบนไปล่าง แต่ปีที่แล้วหมอฉีดจากข้างล่าง เพราะออกงานถ่ายภาพ ออกสื่อค่อนข้างเยอะ สรุปจากที่หมอเคยบอกถ้าคนไข้อยากได้ฟิลเลอร์ประมาณ 3-4 ซีซี ให้ไปผ่าตัดดีกว่า กลายเป็นว่าตอนนี้คุณหมอฉีดฟิลเลอร์คางเยอะมาก เพราะว่าคนไข้หมอเป็นคนอายุเยอะ คนไข้อายุเยอะจะไม่ผ่าตัดใส่คาง ถ้ากระพุ้งแก้มห้อยเขาก็จะไปผ่าตัดดึงหน้า แต่ทางเลือกของคนไข้ ถ้าคนไข้มีกระพุ้งห้อย มีร่องน้ำหมากที่ชัด ฟิลเลอร์คางจะเป็นทางเลือกที่ช่วยได้บาง จะต้องมีการประเมินการห้อยของกระพุ้งแก้ม
เมื่อเวลาแก้ปัญหาความห้อยของใบหน้า ข้างบนได้มีการแก้ไปแล้วหรือยัง เวลาเรามีกระพุ้งแก้มห้อยคนไข้จะต้องมีการตรวจที่แก้มก่อน ดูว่าแก้มของเรานั้นดูยกแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นถ้าเราไปยึดตรงคางจะกลายเป็นว่าคางเราจะแหลม เมื่อคุณหมอฉีดคางคุณหมอจะดูหน้าตรงและด้านข้างซ้ายขวา ดูการใช้กล้ามเนื้อคางของคนไข้ด้วย บางคนเป็นคนคางงุ้มตลอดเวลา การฉีดโบท็อกซ์ไปคลายกล้ามเนื้อตรงคางที่งุ้มก็เป็นวิธีที่ช่วย แต่บางคนกล้ามเนื้อแข็งแรงมาก และบางคนไม่รู้การฉีดฟิลเลอร์จะเข้าไปกดการกำลังของกล้ามเนื้อคางเราทำได้ สำหรับเคสของคุณหมอซูจะโชว์ไว้จากจากที่ทำคางงุ้มแบบนี้ได้ คนไข้จะทำได้ง่ายลง หรือคนไข้ทำปากจู๊ทำทีกล้ามเนื้อจะขึ้นมาเป็นก้อนๆ การฉีดฟิลเลอร์คือการกดการทำงานของกล้ามเนื้อตรงนี้ไม่ให้ทำให้มากขึ้น
สรุปแล้วนั้นเวลาฉีดฟิลเลอร์คางกับทางดีว่าดี คลินิก คุณหมอไม่ได้ฉีดเพื่อความสวยงามอย่างเดียว คุณหมอจะดูที่กระดูกคนไข้ด้วย การฉีดฟิลเลอร์คางจะรวมไปถึงกรามด้วยทั้งหมด บางคนสงสัยฉีดคางทำไมคุณหมอถึงได้มาปักอยู่ตรงนี้ ซึ่งมันเป็นกระดูกชิ้นเดียวกันนั้นเอง ต่อจากไปนี้ถ้าหากพูดถึงฟิลเลอรืคางให้รวมถึงกรามด้วย ดังนั้นแล้วเมื่อโยงเป็นกระดูกทั้งแผ่นแล้วก็เป็นไปได้ที่ใช้ฟิลเลอร์ 3-4 ซีซี ถ้าหากฉีดตามฟิลเลอร์ของอเมริกาแค่ส่วนของคางก็ 4 ซีซี ถ้าไปถึงกรามอาจจะเป็น 5 ซีซี ได้ สำหรับคนไข้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์คางมาแล้ว ถ้าเป็นของดีว่าดี คลินิกจะประเมินของเก่าด้วย คุณหมอจะไม่ฉีดเท่าเดิม หรือบางคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องความพุ่ง เขามีปัญหากระดูกจม
ถ้ากระดูกร่องจมูกของเรานั้นจมจะทำให้แก้มของเราชัดนี่คือกระที่จะต้องใช้ฟิลเลอร์ ตอนนี้คนไข้ที่ดีว่าดี คลินิก จะเข้าดีคุณหมอจะไม่ชอบใส่ฟิลเลอร์ตามร่อง ดังนั้นจุดตรงนี้เป็นจุดที่ใส่ฟิลเลอร์ให้เติมเต็มอยู่
แต่ตอนนี้ที่เราพูดคุยมีการขยับอยู่ตลอดเวลา ร่องน้ำหมากตลอดเวลาถ้าเราไปใส่ฟิลเลอร์จะรู้สึกว่ามีก้อนนูนอยู่ ถ้าจุดไหนที่มีการขยับ ร่องต่างๆ เช่น ร่องหัวตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เป็นต้น มันมีการขยับตอนที่เราแสดงสีหน้าจะทำให้มีโอกาสที่จะเป็นก้อนได้ คุณหมอทุกคนพยายามที่จะแก้ไขปัญหาให้เราแต่ก็จะแล้วแต่คุณหมอท่านนั้นว่าเขาจะคิดเหมือนกับคุณหมออ้อยหรือไม่
ด้วยความที่คุณหมออ้อยแก้เคสมาเยอะ สมัยก่อนที่ยังไม่มีไหมน้ำ มันไม่มีอะไรที่จะใส่ให้คนไข้ในตอนนั้นก็จะมีแค่ฟิลเลอร์ เราก็จะใช้ ไม่ใช้แค่คนไข้ที่เป็นคุณหมออ้อยก็เป็นเหมือนกัน คุณหมออ้อยเป็นคนไม่อยากใส่ฟิลเลอร์ตรงคางเลย แต่ด้วยความที่มีร่องน้ำหมากที่เห็นได้ชัดเจนมาก คุณหมออ้อยจึงฉีดฟิลเลอร์ คุณหมอได้รู้ว่ามีบางคนที่ได้ใส่ไปแล้วว่าเป้นก้อนอยู่ โดยเฉพาะคนไข้ที่มีผิวบาง คือพื้นที่มีน้อยคุณหมอจะวางฟิลเลอร์ให้มันลึก วางไปมันก็จะเป็นก้อน ซะนั้นแล้วเวลามีการฉีดฟิลเอร์คางจะต้องใช้หลายซีซีเพราะเหตุแบบนี้ จะต้องทำให้มีความละมุน บางคนฉีดไปถึงปาก ร่องแก้ม จึงเรียกว่า ฟิลเลอร์โลวาเฟส เวลาแก้คุณหมออ้อยจะแก้แบบ ดังภาพต่อไปนี้
1.อัพเปอร์ 2.มิดเฟส 3.โลวาเฟส
ฉะนั้นการฉีดจะต้องเป็นไปด้วยกัน การฉีดคางจะต้องมาประเมินกันก่อน บางคนส่งรูปมาหน้าตรง คุณหมอก็จะประเมินไม่ได้แล้วว่าตกลงว่าเคสนี้จะต้องใส่ยังไง
สรุปได้ว่าถ้าเราไม่อยากเป็นฝ้า หนึ่งเราจะต้องหาเหตุผล เราจะต้องหาหมอที่บอกเราให้ได้ว่าเราเป็นฝ้าแบบไหน เขาจะต้องชวนคุยหาเหตุผลกัน ปัจจัยอะไรที่ไปกระตุ้นเรา คุณหมอเขาก็จะหาเหตุผลให้เรา หน้าที่เราจะต้องกลับไปป้องกันที่บ้าน กับการรักษา สามก็คือวิธีการหน้าคลินิกก็คือการที่เขามีเขาทำได้ระดับไหนจะต้องคุยถึงความคาดหวังเราจะได้ไปผิดหวัง ถ้าเจอเคสยากๆ คุณหมอบอกเลยว่าเรามาเปลี่ยนวิธีมาทำให้แบบฝ้ามันจางลง ที่พอจะแต่งหน้าจะปิดได้ดีไหม เราก็ทำเรื่องคุณภาพผิวควบคู่กันไปด้วย แต่ว่าคุณหมออ้อยไม่เคยผิดหวังกับเคสฝ้า เพราะว่าหมอลดความคาดหวังของคนไข้ตั้งแต่การรักษาแล้ว จริงๆแล้วไม่ใช่การลดการคาดหวัง เราแต่บอกความเป็นจริงกับคนไข้ไปว่าถ้าเขารักษากับคุณหมออ้อย เขาจะไปได้แค่ไหน คุณหมออ้อยจะทำอะไรให้เขาได้บ้างด้วยวิธีการที่เรามีอยู่
4. ฉีดสารให้ความชุ่มชื่นผิว การฉีดฟิลเลอร์ด้วยงานผิว เราก็จะเจอรีวิวว่าฉีดตัวนั้นมันดีให้ขนาดที่หลายคนบอกว่าตัวนั้นมันดี ตัวนี้มันดี มันก็จะมีบางคนฉีดไปแล้วเฉยมาก ฉะนั้นเรื่องฟิลเลอร์งานผิว ย้ำอีกว่าฟิลเลอร์งานผิว เช่น Belotero revive , Restylane Refyne , Skin Booster , Rejuran (ตัวนี้ไม่ใช่ฟิลเลอร์เป็นงานผิว) และก็จะมีตัว juvederm volite ถ้าทุกคนเข้าใจว่าสามหรือสี่ตัวนี้ที่กล่าวไปเป็นไฮยาลูรอน เป็นกระบวนการเพิ่มน้ำในผิว และเราไปฉีด ถ้าเป็นเคสเราเป็นผิวแห้ง เราทาครีมแล้วไม่ลง เราเก็บน้ำในผิวไม่ได้เราก็จะประสบความสำเร็จในการฉีด หลายยีห้อก้จะมีการฉีดบ่อย บางยี่ห้อก็ฉีดทุก 6 เดือน บางยี่ห้อก็ฉีดทุก 4 เดือน ถ้าเราเข้าใจว่าฉีดโดยเรื่องน้ำ เราก็จะเข้าใจ แต่เรามักจะโดนการตลาด โฆษณาว่าฉีดผิวมันจะดี ผิวละเอียด ซึ่งจริงแล้วมันก้คือไฮยาลูรอน เก็บน้ำใต้ผิวของเรา เท่านั้นเอง บางคนเข้าใจว่าฉันไปฉีดอันนี้แล้ว ฉันไปต้องไปทำอะไรกับหน้าแล้ว ไม่จริงเลย คุณหมอถึงบอกว่าจริง เวลาที่เราไปทำหัตถการอะไร เราเข้าใจหรือไม่ ว่าผลิตภัณฑ์ที่ลงไปในหน้าของเรา ทำอะไรกับเราของเรา